ประวัติ
เบียร์สิงห์ เป็นเบียร์ไทยผลิตโดยบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จำหน่ายโดยบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเปลี่ยนชื่อ เป็น สิงห์ คอร์ปอเรชั่น ภายหลังและใช้คนดังระดับโลกอย่าง “นาตาลี เกลโบวา” และ “วีเจ ซิงค์” มารับหน้าที่เป็น Brand Ambassador ให้กับ “สิงห์คอร์ปอเรชั่นกว่า 72 ปี บนถนนสีอำพันของตระกูล “ภิรมย์ภักดี” กับกว่า 900 ล้านลิตรต่อปี ของผลิตภัณฑ์เบียร์ “สิงห์” ที่ผ่านฝีมือการสร้างสรรค์ของลูกหลานผู้สืบทอดพันธกิจแห่ง “พระยาภิรมย์ภักดี” สู่ผู้บริโภคคอเบียร์ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ
“บุญ รอดบริวเวอรี่” ที่วันนี้กลายมาเป็น “สิงห์ คอร์ปอเรชั่น” ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวอยู่ในธุรกิจฟองเบียร์มานานกว่าค่อนศตวรรษ จนถึงวันนี้ก้าวสู่ยุคที่ 4 ของตำนาน “ภิรมย์ภักดี” กันแล้ว
ย้อน กลับไปเมื่อปี 2476 “พระยาภิรมย์ภักดี” คือ ผู้ที่ทำให้ธุรกิจการผลิตเบียร์เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ในวันนั้นผู้ให้กำเนิดเบียร์สิงห์ท่านนี้ อาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าวันนี้คนอีกซีกโลกหนึ่งจะมีโอกาสได้รู้จักประเทศไทย ผ่านสัญลักษณ์ “สิงห์” และน้ำสีอมฤตที่บรรจุอยู่ในกระป๋อง หรือขวดสีชาภายใต้แบรนด์ “Singha”
“ประจวบ ภิรมย์ภักดี” คือ ทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจของบิดาในฐานะ บุตรชายคนโต ทำให้เขามีบทบาททางธุรกิจมากกว่าผู้เป็นน้องอย่าง “วิทย์” และ “จำนงค์” ซึ่งรุ่นนี้ต้องถือว่าเป็นยุคแห่งความมั่นคง และรุ่งเรืองยุคหนึ่งของ “บุญรอด บริวเวอรี่”
“สิงห์” และ “บุญรอด บริวเวอรี่” เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมาสู่รุ่นที่ 3 ในยุคของ “ปิยะ ภิรมย์ภักดี” และ “สันติ ภิรมย์ภักดี” บุตรชาย 2 ในจำนวนบุตร 5 คนของ “ประจวบ” ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่ใคร ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นยุคทองของคน “ภิรมย์ภักดี” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าเป็นยุคที่ถือว่าสาหัสสุดสุด ของลูกหลานสิงห์รุ่นที่ 3 เพราะด้วยภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดเบียร์เมืองไทย และการเปิดเสรีทางการค้า ทำให้บุญรอดต้องกู้ศักดิ์ศรี และรักษาความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเบียร์เอาไว้ต่อไปให้ได้
ปัจจัย ที่ทำให้แบรนด์มีคุณค่า โดยอ้างอิงองค์ประกอบของคุณค่าแบรนด์
ทั้ง 4 ของ David Aaker
Brand Awareness
ย้อนกลับไป เมื่อปี 2476 “พระยาภิรมย์ภักดี” คือ ผู้ที่ทำให้ธุรกิจการผลิตเบียร์เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ในวันนั้นผู้ให้กำเนิดเบียร์สิงห์ท่านนี้ อาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าวันนี้คนอีกซีกโลกหนึ่งจะมีโอกาสได้รู้จักประเทศไทย ผ่านสัญลักษณ์ “สิงห์” และน้ำสีอมฤตที่บรรจุอยู่ในกระป๋อง หรือขวดสีชาภายใต้แบรนด์ “Singha”
“ประจวบ ภิรมย์ภักดี” คือ ทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจของบิดาในฐานะบุตรชายคนโต ทำให้เขามีบทบาททางธุรกิจมากกว่าผู้เป็นน้องอย่าง “วิทย์” และ “จำนงค์” ซึ่งรุ่นนี้ต้องถือว่าเป็นยุคแห่งความมั่นคง และรุ่งเรืองยุคหนึ่งของ “บุญรอด บริวเวอรี่”
“สิงห์” และ “บุญรอด บริวเวอรี่” เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมาสู่รุ่นที่ 3 ในยุคของ “ปิยะ ภิรมย์ภักดี” และ “สันติ ภิรมย์ภักดี” บุตรชาย 2 ในจำนวนบุตร 5 คนของ “ประจวบ” ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่ใคร ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นยุคทองของคน “ภิรมย์ภักดี” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าเป็นยุคที่ถือว่าสาหัสสุดสุด ของลูกหลานสิงห์รุ่นที่ 3 เพราะด้วยภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดเบียร์เมืองไทย และการเปิดเสรีทางการค้า ทำให้บุญรอดต้องกู้ศักดิ์ศรี และรักษาความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเบียร์เอาไว้ต่อไปให้ได้
ทั้ง “สันติ” และ “ปิยะ” จึงต้องทำงานหนักมากกว่ายุคบุกเบิกในรุ่นปู่ หรือในช่วงของการขยายอาณาจักรในช่วงที่บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลกิจการ โดย “สันติ” รับผิดชอบด้านการตลาด ส่วน “ปิยะ” รับหน้าที่ดูแลด้านการผลิต แต่ภายหลังขอถอนตัวออกไปลุยกับธุรกิจส่วนตัวด้วยการเป็นผู้ผลิตไวน์ในชื่อ ของ เขาใหญ่ ไวน์เนอรี่
นอกจาก “สันติ” และ “ปิยะ” ทายาทรุ่นที่ 2 ยังมีญาติผู้น้อง “จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี” บุตรชายของ “จำนงค์” ได้ถูกดึงเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันในยุควิกฤตเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันมีภารกิจหลักอยู่ที่เรื่องของการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศ และผลักดันแบรนด์ “สิงห์” ให้ก้าวขึ้นสู่ Global Brand ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
Brand Loyalty
ถ้ามองในเรื่องของพฤติกรรมการดื่มเบียร์ของคนไทย น่าจะแบ่งได้ออกมาเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่มี Loyalty สูง พวกนี้จะดื่มเบียร์ Brand ไหนจะดื่ม Brand นั้นตลอด ส่วนอีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มที่ชอบลองของใหม่และ Switching Brand ตามโอกาส ขึ้นอยู่กับราคา รสชาติ และบรรยากาศในการดื่ม เช่นดื่มกับเพื่อนหรือคนกลุ่มไหน
ยอดขายของสิงห์ในช่วงที่ผ่านมาซึ่ง ต้องเผชิญกับการแข่งขันกับเบียร์ช้างนั้นแทบจะไม่ตกลงด้วยซ้ำ ที่ตกลงเป็นเรื่องของส่วนแบ่งตลาดมากกว่า เพราะเบียร์สิงห์มีฐานลูกค้าเดิมที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เบียร์สิงห์ขาดไปก็คือการเข้าหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ สิ่งที่เบียร์สิงห์พยายามทำผ่านทางแคมเปญทางการตลาดรูปแบบต่างๆในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือคำตอบของความพยายามดังกล่าว
สิงห์เริ่มต้นเข้าหากลุ่ม เป้าหมายใหม่ด้วยการ Refresh Brand ให้ดูทันสมัยและเป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งปรับรสชาติให้มีความขมน้อยลงเพื่อมาจับคนรุ่นใหม่ที่มองว่าเบียร์ สิงห์มีรสชาติขมไป ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่สิงห์มีการปรับเรื่องรสชาติ นอกจากนี้ยังมีการปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น โดยในแง่ของการสื่อสารการตลาดมีการดึงเอา 3 พระเอกดังที่เป็นตัวแทนของคนไทยรุ่นใหม่คือ ดอม เหตระกูล เคน ธีระเดช วงศ์พัวพัน และ อู๋ ธนากร โปษยานนท์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อถ่ายทอดบุคลิกของกลุ่มเป้าหมายว่า เป็นคนรุ่นใหม่ที่ติดดิน
Step แรกผ่านพ้นไปแล้ว สิงห์ทำได้ดีในระดับที่น่าสนใจทีเดียว เพราะมียอดขายในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 15% ซึ่งสิงห์ยังคงต่อเนื่องการทำตลาดของตัวเองเพื่อเป้าหมายในการเข้ามาหากลุ่ม คนที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีลงมา โดยใน Step ที่สองนี้ สิงห์กลับไปที่จุดแข็งของตัวเองคือการนำเอา Brand Essence ในเรื่องของความเป็นไทยกลับมาเล่นในแง่มุมใหม่
ในอดีตที่ผ่านมา สิงห์จะสะท้อนความเป็นเบียร์ไทยของตัวเองออกมาทางการสื่อสารการตลาด โดย มร.แบรี่ โอเว่น จากโอกิลวี่ เป็นคนเริ่มต้นใช้จุดแข็งนี้ ทำให้เมื่อนึกถึงสิงห์ จะนึกถึงภาพความเป็นไทย ที่มีกลิ่นอายของไทยแท้ๆและพานให้นึกถึงสิ่งที่สะท้อนความเป็นไทยออกมา ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมต่างๆ หรือแม้กระทั่งลายกนก ลายไทย ซึ่งเป็นการทำในลักษณะของ Inside-out คือสะท้อนจากตัว Brand ออกมาหาผู้บริโภค
แต่สิงห์ในยุคใหม่ จะมองกลับกัน คือ เป็น Outside-in ที่สะท้อนจากตัวผู้บริโภคมาสู่ Brand โดยบอกถึงความเป็นคนไทยที่มีน้ำใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างไรบ้าง เป็นการสร้าง Brand Attitude ให้เกิดขึ้นในใจผู้บริโภค ถือเป็นหมากกลการตลาดที่สำคัญที่สิงห์สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับการแข่งขัน ที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะกับการรับมือ Brand ดังระดับโลกที่พาเหรดเข้ามาในบ้านเราตามภาวะตลาดที่ขยายตัวแบบน่าจับตามอง
สิงห์ ทุ่มงบการตลาดปีละไม่ต่ำกว่า 300 – 400 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมการตลาดและที่กำลังปูพรมอยู่นี้ก็คือหนังโฆษณาชุดใหม่ที่กลับ มาพูดถึงความเป็นไทยในมุมมองใหม่อีกครั้ง ขณะเดียวกัน กิจกรรมการตลาดที่เป็น Below the Line ที่สิงห์ทำอยู่จะสะท้อนภาพของความเป็น Brand ของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การโปรโมชั่นแจกเงินล้าน หรือการใช้ Sport และ Music Marketing ในรูปแบบของการเป็น Sponsorship เพื่อเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย
ความชัดเจนของ Brand Personality ผนวกเข้ากับการศึกษาพฤติกรรมกลุ่มผู้ดื่มถึงไลฟ์สไตล์
เบียร์สิงห์วันนี้จึงต้องเล่นบทการตลาดที่ Offensive ขึ้นในเชิงภาพลักษณ์ใหม่ (Brand Image)
Asset เดิมที่ทางสิงห์ได้ลงทุนไว้มากจนเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงคุณค่าของเบียร์ ยี่ห้อนี้อย่างชัดเจนก็คือ
เบียร์สิงห์ เป็นเบียร์ไทยผลิตโดยบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จำหน่ายโดยบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเปลี่ยนชื่อ เป็น สิงห์ คอร์ปอเรชั่น ภายหลังและใช้คนดังระดับโลกอย่าง “นาตาลี เกลโบวา” และ “วีเจ ซิงค์” มารับหน้าที่เป็น Brand Ambassador ให้กับ “สิงห์คอร์ปอเรชั่น โดยเป็นการแสดงให้เห็นถึงความทันสมัย ที่ปรับตัวอยู่ตลอดระยะเวลา เพื่อให้เป็นการดึงดูดและเป็นที่น่าสนใจ โดยตัวสิงห์เองไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด หรือากเท่าที่ผู้บริโภคต้องการที่จะรับได้
การคุ้มครองคุณค่าแบรนด์ผ่านกฎหมาย
IP Protection
เบียร์สิงห์เป็นเบียร์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเบียร์ตัวแทนของคนไทย เป็นแบรนด์ที่มีความสามารถในการผลิตเบียร์ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวผนึกกับเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่รองรับตลาดอย่างทั่วถึงทำให้บุญรอด ยืนผงาดอยู่ในแนวหน้าของผู้ผลิตเบียร์ตราบจนทุกวันนี้ ยิ่งทำให้ผู้บริโภค มั่นใจในสินค้าของบุญรอดฯ เมื่อเห็นว่าตลาดโลกมีความต้องการสินค้าคุณภาพของบุญรอด จึงทำให้แบรนด์สิงห์ได้ขยายออกไปยังต่างประเทศมากมาย และเพื่อเป็นการป้องการการละเมิด หรือ การลอกเลียนแบบนั้นสิงห์เองก็จำเป็นที่ต้องป้องกันและหาวิธีที่จะให้ยากต่อการที่จะเลียนแบบหรือดัดแปลง จึงได้มีการจดเครื่องหมายการค้าไว้ ด้วยสี สัญลัษณ์ ที่บ่งบอกถึงความเป็นคนไทยเพื่อต้องการให้ผู้ที่เห็นรับรู้ได้เลยว่าเป็นเบียร์ของคนไทย เพื่อให้เป็นสิ่งที่ทดแทนความเป็นไทยในตลาดโลก
แบรนด์ไทยหลายๆแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากมายในท้องตลาดปัจจุบัน ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์มากมายในการแก้ไขหรือคิดค้น หาหนทางที่เป็นไปได้ จนกว่าจะเกิดเป็นผลสำเร็จอย่างเช่นในทุกๆวันนี้ได้
ความ ภูมิใจและใช้จุดเด่นของความเป็นไทย
ขั้น ต้นเราต้องมีความภูมิใจและเข้าใจถึงจุดเด่นและข้อดีของกความเป็นไทยที่เรามี แตกต่างจากคู่แข่งทั่วๆไป และนำจุดที่เรามีและเด่นกว่าคู่แข่งทั่วไปนั้นมาใช้ เพื่อให้เกิดความแตกต่างและเป็นที่สะดุดตาและจดจำ
การสนับสนุนและช่วยเหลือ
แบรนด์ไทยนั้นมี ประสิทธิภาพและความสามารถอยู่เหมือนัน เพียงแต่ว่ายังขาดการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะให้เกิดการต่อยอดและพัฒนาขึ้นไป เพราะฉะนั้นต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ผู้นำและบุคคลากรในองค์กรที่ดี
ไม่ ว่าจะเป็นองค์รไหน สินค้าอะไร รที่มีผู้นำที่ดีผู้ร่วมงานที่ดี ก็จะเป็นส่วนหนึ่งแล้วที่จะทำให้องค์กรหรือแบรนด์นั้นพัฒนาไปได้อย่างรวด เร็วและประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อคนทุกๆคนในองค์กรไปในทิศทางเดียวกันแล้ว จะทำให้อะไรหลายอย่างง่ายมากขึ้น เข้าใจได้มาขึ้น และก็ร่วมมือกันคิดค้นวางแผน วางกลยุทธ์ วางระบบ วิธีการที่จำให้เกิดผลสำเร็จ
จุดยืนที่ ชัดเจน
แบรนด์ไทยที่โดดเด่นในด้านนี้ก็คือเบียร์สิงห์ ที่มีจุดยืนในเรื่อง ของความเป็นไทยมาอย่างยาวนาน และมั่นคง ทำให้แบรนด์ได้รับการสนับสนุนมาอย่างยาวนานและมีความมั่นคงเพราะตัวแบรนด์มี จุดยืนที่เป็นตัวแทน และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ใช้เอกลัษณ์และเสนอให้เห็นคุณค่าของความเป็นไทย
รายชื่อผู้จัดทำ
กลุ่ม SEIKOU Sec.3392 Fri 08.40-11.10
1.นายวรชัย กุลชัยรัตนา ID.1490338546 No.3
2.นายอภิชาติ อิงควระ ID.1490339460 No.6
3.น.ส. กุลธิดา เจิมเจิดพล ID.1490339544 No.7
4.นายจักรพันธ์ แซ่ลิ้ม ID.1490339809 No.8
5.นายคุณากร เนียมตะคุ ID.1490339916 No.9
6.นายณัฐวุฒิ แน่นอุดร ID.1490340120 No.10
7.น.ส. สุชาดา อาชวพงศกร ID.1500321482 No.49